โรคเลือดที่ควรรู้

โรคเลือดที่ควรรู้

 

เลือดจระเข้_330x248_3

     

       โรคเลือด (Blood Diseases) เป็นโรคที่่มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม และสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย เนื่องจากเลือดเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพียงท่อเดียวที่คอยลำเลียงสารอาหารต่างๆไปสู่ทุกอวัยวะในร่างกาย ในทางกลับกันความผิดปกติจากโรคติดเชื้อหรือโรคตับ โรคไต รวมถึงความผิดปกติของไขกระดูกก็ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในระบบเลือดได้เช่นเดียวกัน โรคเลือดที่คนไทยเราเป็นกันมาก ได้แก่

 

 

โรคโลหิตจาง

        เป็นภาวะที่ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่าปกติ รวมถึงร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โลหิตจางจากการขาดวิตามินบี12 โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง โลหิตจางจากภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง หรือโลหิตจางจากโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว เป็นต้น บุคคลบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจางสูง ได้แก่ ผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่ขาดสารอาหารอย่างธาตุเหล็ก หรือวิตามินบี 12 ผู้ป่วยโรคลำไส้ ผู้หญิงในวัยมีประจำเดือน ผู้หญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างโรคมะเร็ง หรือโรคไต

โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

        เนื่องจากรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ อาทิ ไม่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ตับ เลือดหมู หรือมีการเสียเลือดเรื้อรัง การมีพยาธิปากขอ โรคกระเพาะ หรือแม้แต่ภาวะการณ์เสียเลือดมากกว่าปกติจากการเป็นประจำเดือน

โลหิตจางธาลัสซีเมีย

        มักพบในประชากรร้อยละ 1 เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยได้รับยีนส์ธาลัสซีเมียจากพ่อแม่ที่ทำให้การสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงผิดปกติ อาการของโรค คือ ซีดเหลือง บางรายเป็นชนิดรุนแรงสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เยื่อบุตาหรือริมฝีปากซีด

       เลือดข้น ในทางการแพทย์ หมายถึง ความเข้มข้นของเม็ดเลือดสูงขึ้น เช่น ภาวะที่มีเซลล์เม็ดเลือดต่างๆมากกว่าปกติ สาเหตุมักพบว่ามาจากความผิดปกติของไขกระดูกจนทำให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงมากเกินไป หรือภาวะที่เม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติจากโรคบางชนิด หรือในคนที่สูบบุหรี่ ภาวะเลือดข้นจะทำให้เลือดหนืดไหลเวียนไม่สะดวก บางภาวะที่เลือดมีสารละลายบางชนิดอยู่มาก เช่น น้ำตาลสูงมาก หรือมีโปรตีนบางชนิดมากกว่าปกติจะทำให้เลือดหนืดแต่ไม่ข้นได้เหมือนกัน การที่เลือดหนืดไหลเวียนไม่สะดวกจะทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้ไม่ดี ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจ

       เลือดใส คือ เลือดที่ไหลไม่สะดวกเช่นกัน ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดตีบแคบ ซึ่งการตีบแคบของหลอดเลือดก็เนื่องมาจากคราบไขมัน และหินปูนที่สะสมพอกหนาอยู่ด้านในของหลอดเลือด มักพบในคนอ้วน คนที่สูบบุหรี่จัด คนที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย เมื่อมีการสะสมมากขึ้นสามารถทำให้หลอดเลือดตีบ

 

โรคเลือดที่ส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว

จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อได้ง่าย หรือติดเชื้อบ่อยครั้ง มักเมื่อยล้า น้ำหนักตัวลดลงแบบหาสาเหตุไม่ได้ หรือรู้สึกไม่สบาย ซึ่งโรคเลือดที่ส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ได้แก่

     - มะเร็งเม็ดเลือดขาว เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นที่เซลล์เม็ดเลือดขาวจนทำให้เซลล์มีการแบ่งตัวในปริมาณที่ผิดปกติภายในไขกระดูก ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการต่างๆ เช่น มีไข้ หนาวสั่น รู้สึกอ่อนเพลียและเมื่อยล้า มีเหงื่อออกตอนกลางคืน น้ำหนักตัวลดลง ปวดและตึงที่กระดูก ต่อมน้ำเหลือง ตับ หรือม้ามโต ติดเชื้อได้ง่าย มีจุดแดงตามผิวหนัง เกิดแผลฟกช้ำหรือมีเลือดออกง่าย เป็นต้น ซึ่งผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือเป็นโรคเลือด รวมถึงผู้ที่เคยรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี บุคคลกลุ่มดังกล่าวอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้

     - มะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลมัยอิโลมา เกิดจากพลาสมาเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งกลายเป็นมะเร็ง ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการผลิตสารภูมิต้านทานแอนติบอดี้ที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน จึงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก ระบบประสาท เลือด และการทำงานของไต ซึ่งผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับพลาสมาเซลล์ชนิดอื่นๆอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูง

      - มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดมะเร็งขึ้นในระบบน้ำเหลือง ซึ่งประกอบด้วยน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลืองและต่อมน้ำเหลือง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาว โดยมีการเพิ่มจำนวนขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบมีอาการบวม หรืออาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีไข้ ไอ เมื่อยล้า เหงื่อออกมากตอนกลางคืน ปวดกระดูก ม้ามโต ปวดท้อง หรือน้ำหนักตัวลดลงโดยหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น

      - โรคเอ็มดีเอส (Myelodysplastic Syndrome) เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดที่ส่งผลให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนที่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเมื่อล้า หายใจหอบเหนื่อย เกิดการติดเชื้อได้ง่ายเนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สมบูรณ์มีปริมาณต่ำ ผิวซีดจากภาวะโลหิตจาง เป็นแผลฟกช้ำและมีเลือดออกได้ง่าย เนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ มีจุดแดงขึ้นตามผิวหนัง และอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้

 

โรคเลือดที่ส่งผลต่อเกล็ดเลือด

หากมีเกล็ดเลือดน้อยเกินไปหรือเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติแม้อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เสียเลือดมากได้ แต่หากมีเกล็ดเลือดมากเกินไปก็อาจก่อตัวเป็นลิ่มเลือดจนเกิดการอุดตันภายในหลอดเลือดขึ้นได้ อีกทั้ง ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองได้ โรคหลอดเลือดที่ส่งผลต่อเกล็ดเลือด ได้แก่

       - ภาวะเกล็ดเลือดสูง จะเกิดขึ้นเมื่อไขกระดูกผลิตเกล็ดเลือดมากผิดปกติ โดยร่างกายคนทั่วไปจะสร้างลิ่มเลือดขึ้นเมื่อเกิดบาดแผลเพื่อทำให้เลือดหยุดไหล แต่ผู้ที่มีเกล็ดเลือดสูงตั้งแต่ 450,000 เกล้ด/ไมโครลิตรขึ้นไป ร่างกายจะสร้างลิ่มเลือดขึ้นแม้จะไม่มีบาดแผลเกิดขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะบริเวณสมอง มือ หรือเท้า ซึ่งอาจทำให้เลือดไหลเวียนได้น้อยลง และส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ หรือไต เป็นต้น โดยผู้ป่วยเกล็ดเลือดสูงมักมีอาการวิงเวียน สายตาพร่ามัว ปวดศีรษะ มีอาการชาที่มือและเท้า เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือเป็นลม เป็นต้น

       - ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นภาวะที่มีจำนวนเกล็ดเลือดน้อยกว่า 150,000 เกล็ด/ไมโครลิตร ซึ่งอาจเป็นผลมาจากไขกระดูกผลิตเกล็ดเลือดได้ไม่เพียงพอ หรือเกิดจากร่างกายใช้หรือทำลายเกล็ดเลือดมากเกินไป หรือเกิดการติดเชื้อบางชนิด ส่งผลให้เกล็ดเลือดถูกกักอยู่ที่ม้าม ซึ่งเป็นอวัยวะที่ขจัดเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ร่างกายไม่ต้องกายออกจากกระเเสเลือด เมื่อมีเกล็ดเลือดต่ำผู้ป่วยจะมีอาการ เช่น เกิดแผลฟกช้ำได้ง่าย เลือดหยุดไหลยาก หรือไหลออกมามากแม้บาดแผลเเค่เล็กน้อย เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด ประจำเดือนมามากกว่าปกติ เป็นต้น

      - ภาวะเกล็ดเลือดทำงานบกพร่อง ทำให้เลือดไหลไม่หยุด เช่น โรคฮีโมฟีเลีย ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อเลือดมีโปรตีนที่ทำให้เลือดแข็งตัวไม่เพียงพอ จึงทำให้เกล็ดเลือดไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เมื่อได้รับบาดเจ็บทำให้มีเลือดออกภายในร่างกาย โดยเฉพาะที่หัวเข่า ข้อเท้า หรือข้อศอก ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียอาจมีเลือดออกมากกว่าปกติ สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในร่างกาย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

การรักษาโรคเลือดในปัจจุบัน

การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเลือดแต่ละชนิด รวมถึงอายุ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งแพทย์อาจรักษาโรคเลือดด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้

     - การใช้ยาและ/หรืออาหารเสริม โดยการใช้ยาเพื่อกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเกล็ดเลือด การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อต่างๆ สำหรับโรคที่ส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว หรืออาจรับประทานอาหารเสริมเพื่อรักษาโรคที่ส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง เช่น วิตามินบี 9 วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก โฟเลต และอาหารเสริมอื่นๆที่เป็นการบำรุงเลือดโดยเฉพาะ เป็นต้น

     - การผ่าตัด แพทย์อาจใช้การปลูกถ่ายไขกระดูก เพื่อซ่อมแซม หรือทดแทนไขกระดูกที่ได้รับความเสียหาย หรือให้เลือดเพื่อทดแทนเซลล์เม็ดเลือดในร่างกาย ซึ่งหากเป็นการปลูกถ่ายเซลล์หรือรับเลือดจากผู้บริจาคจำเป็นต้องตรวจความเข้ากันได้ของระบบเลือดทั้ง 2 ฝ่ายก่อน เพื่อลดความเสี่ยงของอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา

     เลือดในร่างกายเราสามารถชี้เป็นชี้ตายได้ ดังนั้น หมั่นตรวจสุขภาพเลือดเป็นประจำ และบำรุงเลือดให้ดีเข้าไว้ ช่วยให้ห่างไกลจากโรคและอาการต่างๆได้มากมายเลยทีเดียว

 

 

(อ้างอิงจาก : วิน เชยชมศรี. (2562). เลือดจระเข้, (1), 43-62.)